วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2559

บทที่ 1 ความหมายของภาษา

ภาษาหมายถึง
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน( ..๒๕๔๒, ๒๕๔๖: ๘๒๒) “ภาษาหมายถึง ถ้อยคำที่ใช้พูดหรือเขียน เพื่อสื่อความของชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เช่น ภาษาไทย ภาษาจีน เป็นต้น
ภาษา เมื่อแปลตามรูปศัพท์หมายถึง คำพูดหรือถ้อยคำ ภาษาเป็นเครื่องมือของมนุษย์ที่ใช้ในการสื่อความหมายให้สามารถติดต่อสื่อสาร เข้าใจกันได้ โดยมีระเบียบของเสียงและเรื่องของคำเป็นเครื่องกำหนด ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานพ.ศ. 2525 ให้ความหมายของคำว่าภาษา คือ เสียงหรือกิริยาอาการที่ทำความเข้าใจกันได้ คำพูด ถ้อยคำที่ใช้พูดจากัน
บันลือ  พฤกษะวัน(2522, หน้า 5) ได้ให้ความหมายของภาษาไว้ว่า คือเครื่องมือที่ใช้สื่อความหมายที่สำคัญที่สุดของมนุษย์เมย์ (MAY,  อ้างถึง  บันลือ  พฤกษะวัน ,2533, หน้า5)ได้กล่าวถึงภาษาว่า  การที่มนุษย์ใช้ภาษาสื่อความหมายกันได้  ย่อมเป็นเครื่องแสดงว่ามนุษย์ประเสริฐกว่าสัตว์  นอกจากนี้  ศุภวัตน์  ชื่นชอบ  ได้ให้ความหมายของภาษาไว้ว่า  ภาษาคือเครื่องมือการสื่อสาร (2524, หน้า1)และพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน(2530, หน้า203)ได้ให้ความหมายของภาษาไว้ดังนี้ ภาษา  หมายถึง  เสียงหรือกริยาอาการที่เป็นสื่อเข้าใจความหมายรู้กันได้,คำพูด,ถ้อยคำที่ใช้พูดจากัน https://www.gotoknow.org/posts/212080Wilson.G
อุดม    วิโรตม์สิกขดิตย์(๒๕๔๗ : ๑-๒) กล่าวว่า  ภาษา  หมายถึง  การสื่อความหมายที่ต้องมีเสียง  ความหมาย  ระบบ  กฏเกณฑ์ที่ยอมรับกันทั่วไป  หรืออีกนัยหนึ่งกล่าวว่า  ภาษาต้องมีโครงสร้าง(Structure)
มยุเรศ  รัตนานิคม(๒๕๔๒ : ๓) กล่าวว่า  ภาษา  หมายถึง  รหัสชนิดหนึ่งซึ่งมนุษย์ใช้สื่อความหมายระหว่างกันในการทำกิจกรรมต่าง ๆ โดยผ่านสื่อที่เป็นเสียงสัญลักษณ์ตามที่ได้ตกลงยอมรับกันในสังคมของผู้ใช้รหัสเดียวกันนั้น  เสียงสัญลักษณ์ดังกล่าวจะต้องมีระบบแบบแผนที่แน่นอนและมีความสัมพันธ์กันกับระบบความหมายอันเป็นความหมายที่สามารถเข้าใจตรงกันได้ในหมู่ชนนั้น ๆ

สรุป ถ้อยคำที่ใช้สื่อความหมายที่ต้องใช้เสียงหรือการเขียน ทีมนุษย์ใช้สื่อความหมายระหว่างกันในการทำกิจกรรมต่าง ๆ โดยมีระเบียบของเสียงและเรื่องของคำเป็นเครื่องกำหนดเสียงหรือกิริยาอาการที่ทำความเข้าใจกันได้ คำพูดถ้อยคำที่ใช้พูดจากันแล้วภาษาก็คือเครื่องมือที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารกันและกันให้เข้าใจนั่นเอง

บทที่ 5 ภาษาประจำชาติอาเซียน

ประเทศมาเลเซีย
อาณาเขต
มาเลเซีย (Malaysia) มีพื้นที่แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ มาเลเซียตะวันตกและมาเลเซียตะวันออก โดยมีทะเลจีนใต้กั้นตรงกลาง มาเลเซียตะวันตกตั้งอยู่
บนคาบสมุทรมาเลเซียหรือคาบสมุทรมลายู (Peninsular Malaysia) ทิศเหนือติดกับไทย ทิศใต้ติดกับช่องแคบยะโฮร์ ที่กั้นระหว่างมาเลเซียกับสิงคโปร์ ทิศตะวันออกติดกับทะเลจีนใต้ และทิศตะวันตกติดกับทะเลอันดามันและช่องแคบมะละกา
         มาเลเซียตะวันตกมีพื้นที่ประมาณ 130,000 ตารางกิโลเมตร มาเลเซียตะวันออกมีพื้นที่ประมาณ 195,000 ตารางกิโลเมตร รวมพื้นที่แล้วมีขนาดใหญ่
เป็นอันดับที่ 5 ของประเทศสมาชิกอาเซียน มาเลเซียตะวันออก (East Malaysia) ตั้งอยู่บนเกาะบอร์เนียว ห่างจากมาเลเซียตะวันตกประมาณ 644 กิโลเมตร มีพรมแดนติดกับอินโดนีเซียทางทิศใต้
ที่มาภาพ : http://www.thai-aec.com/
ธงชาติมาเลเซีย

 ที่มาภาพ : th.wikipedia.org/wiki/ประเทศมาเลเซีย

         ธงชาติมาเลเซีย มีแถบสีแดงสลับสีขาวรวม 14 แถบ แต่ละแถบมีความกว้างเท่ากัน ที่มุมธง ด้านคันธงมีรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีน้ำเงินกว้าง 8 ใน 14 ส่วนของผืนธงด้านกว้าง และยาวกึ่งหนึ่งของผืนธงด้านยาว ภายในรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าดังกล่าว มีเครื่องหมายพระจันทร์เสี้ยว และดาว 14 แฉก ซึ่งสี และสัญลักษณ์ ต่าง ๆ มีความหมาย ดังนี้
    1. แถบริ้วสีแดง และสีขาว ทั้ง 14 ริ้ว หมายถึง สถานะอันเสมอภาคของรัฐสมาชิกทั้ง 13 รัฐ ภายในประเทศมาเลเซีย
           2. ดาว 14 แฉก หมายถึง ความเป็นเอกภาพในหมู่รัฐดังกล่าวทั้งหมด
           3. พระจันทร์เสี้ยว หมายถึง ศาสนาอิสลามอันเป็นศาสนาประจำชาติ
           4. สีเหลืองในพระจันทร์เสี้ยว และดาว 14 แฉก สื่อถึง ผู้เป็นประมุขแห่งสหพันธรัฐสีน้ำเงิน หมายถึง ความสามัคคีของชาวมาเลเซีย
เพลงชาติ
ชื่อเพลง : เนการากู (Negaraku)
แปลว่า ประเทศของฉัน
Negaraku, Tanah tumpahnya darahku, Rakyat hidup,
Bersatu dan maju, Rahmat bahagia,
Tuhan Kurniakan, Raja kita, Selamat bertakhta.
Rahmat bahagia, Tuhan kurniakan,
Raja kita, Selamat bertakhta.

ตราแผ่นดิน
ที่มาภาพ : th.wikipedia.org/wiki/ประเทศมาเลเซีย
เมืองหลวง
กัวลาลัมเปอร์ (Kuala Lumpur)
ดอกไม้ประจำชาติ

ดอกบุหงารายา (Buanga Raya)  หรือดอกชบาแดง
ระบบการปกครอง
         การเมืองการปกครองปกครองในระบบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เรียกว่า สมเด็จพระรามาธิบดี หรือ ยังดี เปอร์กวน อากง (Yang di-
pertuan Agong) ซึ่งเลือกจากเจ้าครองรัฐต่างๆ ผลัดเวียนกันทุก 5 ปี ส่วนระบบรัฐบาล มีทั้งรัฐบาลกลางแห่งสหพันธรัฐและรัฐบาลแห่งรัฐ  ปกครองแบบรัฐสภา ประกอบด้วย 2 สภา คือ สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา โดยมีนายกรัฐมนตรีมีอำนาจสูงสุดของฝ่ายบริหารโดยประมุขของประเทศเป็นผู้แต่งตั้ง แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 17 รัฐมีผู้ปกครองรัฐของตน และ 3 เขตที่อยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลแห่งสหพันธรัฐ
ระบบเศรษฐกิจ สกุลเงิน อัตราแลกเปลี่ยน
         เศรษฐกิจและทรัพยากรที่สำคัญมาเลเซียเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ที่มีเศรษฐกิจก้าวหน้าแห่งหนึ่ง โดยเป็นรองจากสิงคโปร์แหล่งอุตสาหกรรมส่วนใหญ่
อยู่ในมาเลเซียตะวันตก เมืองปีนังเป็นเมืองท่าใหญ่ของประเทศ มีถนนหลวงมาตรฐานสูงเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายไปทั่ว ประเทศคู่ค้าที่สำคัญของมาเลเซีย คือ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และสิงคโปร์สินค้าส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ น้ำมันปาล์ม เคมีภัณฑ์ น้ำมันสำเร็จรูป น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ เหล็ก ยางพารา และเป็นผู้ส่งออกดีบุกอันดับต้นๆ ของโลก
           สกุลเงิน คือ ริงกิต (Ringgit) ตัวย่อ MYR
           อัตราแลกเปลี่ยนโดยประมาณ 1 ริงกิต = 10 บาท

ประชากร
        ประชากรในมาเลเซียมีหลากหลายเชื้อชาติโดยส่วนใหญ่ของประเทศคือ ชนเชื้อสายมาเลย์ รองลงมาคือ จีน และอินเดีย นอกจากนั้นคือชนพื้นเมือง ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งถือเป็นศาสนาประจำชาติ รองลงมาคือศาสนาพุทธนิกายมหายาน นอกจากนี้คือ ศาสนาฮินดู และคริสต์ และศาสนาอื่น ๆ
         จำนวนประชากรประมาณ 30.1 ล้านคน (พ.ศ. 2557) ประชากรส่วนใหญ่เป็นชนเสื้อสายมาเลย์


ชุดประจำชาติ
         หญิง สวมเสื้อ บาราจูกุงเป็นเสื้อแขนยาวที่มีขนาดตัวยาวถึงเข่า หรือเสื้อ คะบาย่าเป็นเสื้อแขนยาวสีสันสดใส และมีลายฉลุดอกไม้ขนาดพอดีตัวปิดถึงสะโพก และนุ่งกับโสร่งที่มีลวดลายเข้ากับเสื้อ บางครั้งมีผ้าคล้องคอ และสวมรองเท้าแตะหรือรองเท้าส้นสูงแบบสากล
ชาย สวมเสื้อแขนยาวแบบคอปิดติดกระดุม และนุ่งกางเกงขายาวสีเดียวกับเสื้อ ที่เรียกว่าชุด       “บาจู มาลายูซึ่งมีผ้าคาดทับเอว และสวมหมวกแบบมุสลิมที่เรียกว่า ซอเกาะสวมรองเท้าหนังแบบสากล







สัตว์ประจำชาติ

เสือโคร่งมลายู (Malayan Tiger)
ระบบการบริหารการศึกษาของประเทศมาเลเซีย
ระบบการบริหารการศึกษาอยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงศึกษาธิการแบ่งระดับการบริหารเป็น 5 ระดับคือ ระดับชาติ ระดับรัฐ ระดับอำเภอ ระดับกลุ่มโรงเรียน และระดับโรงเรียน การบริหารโรงเรียนระดับชาติอยู่ในความควบคุมของรัฐบาลกลาง (Federal Government) การศึกษาทุกประเภท ทุกระดับ อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของกระทรวงศึกษาธิการเพียงกระทรวงเดียว ยกเว้นการศึกษาที่มีลักษณะเป็นการศึกษานอกระบบ (Non – formal Education) จะมีกรมจากกระทรวงอื่นที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบ เช่น กรมแรงงาน กรมเกษตร เป็นต้น
ระบบการจัดการศึกษาของมาเลเซีย (National Education System) เป็นระบบ 6 : 3: 2 คือระบบการศึกษาของมาเลเซียจัดอยู่ในระดับที่มีมาตรฐานสูงตามแบบของประเทศอังกฤษ สถาบันการศึกษาส่วนใหญ่จะใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อในการสอน ระบบการเรียน การสอนแบบ Twinning Program เป็นระบบที่ได้รับความนิยมอย่างมากเป็นการร่วมมือกับสถาบันในประเทศ อเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แคนนาดา สวิสเซอร์แลนด์ ฯลฯ

ระดับประถมศึกษาหลักสูตร 6 ปีการศึกษา
– ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น หลักสูตร 3 ปีการศึกษา
– ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย หลักสูตร 2 ปีการศึกษา
– ระดับเตรียมอุดมศึกษา หลักสูตร 1 หรือ 2 ปีการศึกษา
– ระดับอุดมศึกษา หลักสูตรเฉลี่ยประมาณ 3 ปีครึ่ง ถึง 4 ปีการศึกษา


การแบ่งระดับการศึกษา
ระดับการศึกษาของประเทศมาเลเซียแบ่งระดับการศึกษาออกเป็น 5 ระดับดังนี้
1. การเตรียมความพร้อม ( Pre – School Education) คือการศึกษาระดับอนุบาล (Kindergarten) โดยมาเลเซียจะให้เด็กเรียนในระดับนี้ตอนอายุ 4 ปี
2. ประถมศึกษา (Primary Education) เด็กทุกคนจะต้องเริ่มเรียนในระดับนี้เมื่ออายุครบ 6 ปี (โดยให้เริ่มนับจากวันที่ 1 มกราคม ของปีการศึกษาอื่น ๆ) ซึ่งจะใช้เวลาเรียน 6 ปี เหมือนกับประถมศึกษาปีที่ 1 – 6 ของประเทศไทยโรงเรียนประถมศึกษาในมาเลเซียแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
(1.) National Primary School จะใช้ภาษามาเลเซียในการสอน
(2.) Vermacular School จะใช้ภาษาจีน หรือทมิฬในการสอน
เมื่อเด็ก ๆ เรียนจบในระดับ Primary Education เด็กทุกคนต้องผ่านการสอบข้อสอบระดับชาติ (Ujian Pencapain Sekolah Rendah:UPSR) จึงจะขึ้นไปเรียนต่อระดับ Secondary Education ได้
3. มัธยมศึกษา (Secondary Education) เป็นการศึกษาต่อเนื่องจากระดับประถมศึกษามีระยะเวลาเรียน 5 ปี หากเป็นโรงเรียนรัฐบาลจะสอนโดยใช้ภาษามาเลเซีย ซึ่งการศึกษาระดับนี้แบ่งการศึกษาออกเป็น 2 ระดับ คือ
(1.) Lower Secondary (Form 1 – 3 )
(2.) Upper Secondary (Form 4 – 5)
โรงเรียนที่เปิดสอนในระดับ Upper Secondary มี 3 สาขาคือ
เน้นด้านวิชาการ (Art & Science)
เน้นด้านเทคนิค
เน้นด้านวิชาชีพ
นักเรียนที่เลือกเรียนสายวิชาการและเทคนิคเมื่อจบแล้วจะต้องสอบผ่านข้อสอบของรัฐ (Sijit Pelajaran Malaysia: SPM) และสายวิชาชีพคือ (Sijit Pelajaran Malaysia Vokasional:SPMV) หากสำเร็จการศึกษาระดับนี้ วุฒิที่ไดจะเทียบเท่ากับ GCSE “ O” Levels เมื่อจบการศึกษาระดับนี้ สามารถเลือกว่าจะเรียนต่อในสายวิชาชีพ (Certificate หรือ Diploma) หรือ เรียนต่อในระดับอุดมศึกษา (Higher Education)
4. เตรียมอุดม (Post – Secondary or Pre – University Education) หากเลือกที่จะเรียนต่อในสายอุดมศึกษาจะต้องเข้ารับการศึกษาในระดับนี้ก่อนถึงจะสามารถก้าวต่อไปเรียนในระดับปริญญาตรีได้ การรับนักศึกษาเข้าเรียนในระดับนี้ จะดูสาขาที่เลือกตอนเรียนในระดับ Upper secondary และผลการเรียน SPM/SPMU เป็นหลัก และจะคัดเฉพาะเด็กที่ผ่านเกณฑ์เข้าศึกษาเท่านั้น การศึกษาในระดับนี้ใช้เวลา 1 – 2 ปี มี 2 เส้นทาง คือ Sixth Form และ Matriculation การเรียนในเส้นทาง Sixth Form จะมี 3 สาขา คือ Arts, Science และ Technical ซึ่งเมื่อเรียนจบแล้วจะต้องสอบผ่านข้อสอบของรัฐ คือ STPM (Sijit Tinggi Perselolaham Malaysia) โดยจะได้วุฒิเทียบเท่า GCE “A” Level ส่วน Matriculation คือการสมัครเรียนตรงกับทางสถาบัน ซึ่งหลังจากเรียนจบจะต้องสอบให้ผ่านถึงจะสามารถเข้าเรียนในระดับปริญญาตรีได้ ส่วนโรงเรียนเอกชนที่สอนภาษาจีนนั้น ระบบการเรียนนั้นจะแตกต่างกับโรงเรียนรัฐบาล ในช่วงของระยะเวลาเรียนที่ต้องเรียนเป็นเวลา 6 ปี และจะต้องเข้ารับการทดสอบที่เรียกว่า The Unified Examination Certificate (UEC) ซึ่งจัดการโดยสมาคมครูและคณะกรรมการโรงเรียน
5. อุดมศึกษา (Tertiary or Higher Education) การศึกษาในระดับนี้จะอยู่ภายใต้การควบคุมของ Ministry of Higher Education โดยหลักสูตรที่อยู่ในระดับนี้ประกอบด้วยหลักสูตร Certificate หลักสูตร Diploma หลักสูตร First Degree (Undergraduate Degree หรือ ปริญญาตรี) และ Higher Degree (Professional Degree หรือระดับปริญญาโท และ ปริญญาเอก)
    เส้นทางการศึกษา






ประเภทของสถานศึกษา แบ่งตามหน้าที่ 3 ประเภท ดังนี้
1. สถานศึกษาของรัฐบาล (Government Education Institutions)
2. สถานศึกษาในอุปถัมภ์ของรัฐบาล (Government – aided Educational Institutions)
3. สถานศึกษาเอกชน (Private Educational Institutions)

ภาคการศึกษาของมาเลเซีย
ภาคการศึกษาแบ่งออกเป็น 2 เทอม ดังนี้
เทอม 1 เริ่มต้นในเดือนมกราคม จนถึง มิถุนายน
เทอม 2 เริ่มต้นในเดือนกรกฎาคม จนถึง ธันวาคม


สำพาด อาจารย์ศุภฤกษ์ กอบัว




บทที่ 4 วัฒนธรรมและการสื่อสารต่างวัฒนธรรม

ศัพท์เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรม (Vocabulary Items Related to Culture)
1. Civilization  อารยธรรม  The social process whereby societies achieve an advanced stage of development and organization
กระบวนการทางสังคมจะบรรลุผลขั้นสูงจากการพัฒนาขององค์กร
2. Cultural stereotypes  แบบแผนทางวัฒนธรรม  A fixed idea that people have about what someone or something is like, especially an idea that is wrong.
Cultural stereotypes make our understanding of other cultures difficult.
แบบแผนทางวัฒนธรรมทำให้เกิดความเข้าใจทางวัฒนธรรมโดยเฉพาะเกี่ยวกับความคิดที่ผิดๆ
3. Cultural shock: A condition of confusion and anxiety affecting a person suddenly exposed to an alien culture or milieu."The first time she went to Japan, Isabel got a huge culture shock."
ช็อตวัฒนธรรม :สภาพของความสับสนหรือตกใจของคนที่พบเห็นวัฒนธรรมที่แปลกใหม่ เช่น "ครั้งแรกที่เธอเดินไปยังประเทศญี่ปุ่น, อิซาเบลได้ช็อกวัฒนธรรมมาก."
4. Globalization: Globalization in its literal sense is the process of transformation of local phenomena into global ones. It can be described as a process by which the people of the world are unified into a single society and function together. This process is a combination of economic, technological, sociocultural and political forces.Globalization is often used to refer to economic globalization, that is, integration of national economies into the international economy through trade, foreign direct investment, capital flows, migration, and the spread of technology
โลกาภิวัตน์:กระบวนการเปลี่ยนแปลงปรากฏการณ์ของคนในท้องถิ่นทั่วโลก เป็นกระบวนการที่คนทั้งโลกมีเอกภาพในสังคมเดียวกัน
5. Stereotype : A generalized perception of first impressions. Stereotypes, therefore, can instigate prejudice and false assumptions about entire groups of people, including the members of different ethnic groups, social classes, religious orders, the opposite sex, etc. A stereotype can be a conventional and oversimplified conception, opinion, or image, based on the assumption that there are attributes that members of the "other group" have in common.
ต้นแบบ:ความคิดแบบดั้งเดิมและสมจริงสมจังในความคิดเห็นหรือภาพ ขึ้นอยู่กับสมมติฐานที่มีคุณสมบัติที่สมาชิกของกลุ่ม "คนอื่น" มีเหมือนกัน
6 .วัฒนธรรม หมายถึง รูปแบบของกิจกรรมมนุษย์และโครงสร้างเชิงสัญลักษณ์ที่ทาให้กิจกรรมนั้นเด่นชัดและมีความสำคัญ
7 .จารีต หมายถึง ประเพณีที่ถือสืบต่อกันมานาน.
8. ประเพณี หมายถึง ระเบียบแบบแผนที่กำหนดพฤติกรรมในสถานการณ์ต่างๆที่คนในสังคมยึดถือปฏิบัติสืบกันมา
9 .ขนบธรรมเนียม หมายถึง แบบอย่างที่นิยมกันมา.
10. เทศกาล หมายถึง ช่วงเวลาที่กำหนดไว้เพื่อจัดงานบุญและงานรื่นเริงในท้องถิ่น

การเข้าสู่วัฒนธรรมใหม่ (Culture Shock)


การที่บุคคลหนึ่งไปอยู่ในอีกวัฒนธรรมหนึ่ง  ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงทั้งสภาพสังคมสิ่งแวดล้อมรวมถึงวัฒนธรรมที่แตกต่างกันวัฒนธรรมเดิมที่เราคุ้นเคย ก็อาจทำให้เกิดปรากฎการณ์ที่เรียกว่า Culture Shock ได้ การที่เราเป็นครูสอนในชั้นอนุบาลโดยปรากฎการณ์ ดังกล่าวแบ่งออกเป็น  3  ระยะด้วยกัน Honeymoon Phase ก็เหมือนกับการฮันนีมูนที่เราจะเห็นแต่ความสวนงามราบรื่นไปเสียหมดทุกอย่างจนไม่เห็นข้อบกพร่องอะไรเลย หรือจะเรียกว่า อาการเห่อ ก็ได้ มองว่าโรงเรียนที่เราสอนนั้นน่าอยู่มากๆ สะอาด สวยงาม มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย นักเรียนน่ารักยิ้มแย้มแจ่มใส รู้จักทำความเคารพ อาจารย์ท่านอื่นเป็นกันเองอัธยาสัยดี รอบๆโรงเรียนเต็มไปด้วยต้นไม้ที่เขียวขจีร่มรื่นบรรยากาศดี เป็นต้น ส่วนระยะต่อมาเรียกว่า Negotiation Phase หรือ Culture Shock Phase โดยจะเกิดขึ้นหลังจากผ่านช่วง Negotiation Phase ไปเพียงไม่นาน ผู้ที่เข้าไปอยู่ในวัฒนธรรมใหม่จะเกิดการเปรียบเทียบวัฒนธรรมใหม่กับวัฒนธรรมดั้งเดิมของตนโดยมองวัฒนธรรมใหม่ในเชิงลบ เช่น กังวลว่าเราจะปรับตัวเข้ากับโรงเรียนได้หรือเปล่า เราจะปรับตัวเข้ากับคุณครูท่านอื่นยังไงจะวางตัวยังไง และที่สำคัญคือเราจะปรับตัวเข้ากับเด็กปฐมวัยได้อย่างไรให้เป็นที่รักของเด็กๆ เพราะว่าเด็กแต่ละคนก็มีความแตกต่างกันออกไปบางคนขี้น้อยใจ บางคนก็ชอบให้เอาอกเอาใจ และกังวลว่าเราจะสอนเด็กอย่างไรจะใช้สื่อการสอนแบบไหนถึงจะเหมาะสมกับเด็กแต่ละวัยเพราะเด็กปฐมวัยแต่ละคนก็มีพัฒนาการที่แตกต่างกันออกไปบางคนมีพัฒนาการช้าบางคนมีพัฒนาการเร็วเราก็ต้องรู้จักวิธีที่จะเพิ่มความรู้ให้กับเด็กก็คือ การสอนเด็กจากสื่อต่างๆให้เด็กได้เรียนรู้และทำความเข้าใจไปพร้อมๆกันเพื่อให้เด็กที่มีพัฒนาการช้าได้เรียนรู้ไปพร้อมๆกับเพื่อนเราก็ต้องเพิ่มเติมและพัฒนาเด็กไปอย่างช้าๆเท่าที่เด็กจะรับไหว ช่วงนี้จะเกิดอารมณ์แปรปรวนมากเพราะกังวลขาดความมั่นใจในตนเองโดยอากรเหล่านี้อาจเป็นอยู่ในช่วงแรกที่เราไปฝึกสอนประมาณในช่วง 1-2 เดือน หลังจากนั้นก็จะค่อยๆเริ่มปรับตัวเข้ากับโรงเรียนเข้ากับครูเข้ากับเด็กปฐมวัย และสิ่งแวดล้อมรอบๆตัวได้  หลังจากหมดระยะนี้ก็จะมาถึงระยะสุดท้ายที่เริ่มปรับตัวได้ คือ Adjustment Phaseการเป็นครูอนุบาลเราเริ่มปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมและสังคมในโรงเรียนที่ฝึกสอนได้เป็นอย่างดี ไร้อคติกับเด็กๆ และสามารถเป็นครูที่ดีเป็นที่รักของเด็กๆได้  แต่ถ้าเราต้องเปลี่ยนโรงเรียนฝึกสอนใหม่จะเรียกว่า Reverse Culture Shock เมื่อเกิดความเคยชินกับวัฒนธรรมและสังคมใหม่แล้ว จะกลับไปเป็นเหมือนเดิมก็ยาก เช่น รู้สึกไม่ชินกับโรงเรียนใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม ที่มีนักเรียนเยอะกว่าเดิม มีสิ่งแวดล้อมและสังคมของเด็กที่แตกต่างกันออกไป และเราก็ต้องขยันหาสื่อการสอนที่น่าสนใจและจัดห้องเรียนที่มีบรรยากาศที่อบอุ่นเพื่อกระตุ้นให้เด็กๆสนใจในที่อยากจะเรียนและทำตัวให้เป็นกันเองสำหรับเด็ก แค่นี้การสอนครั้งนี้ก็จะราบรื่นอีกด้วย

อ้างอิง

บทที่ 3 การอ่านภาษาอังกฤษที่เกี่ยวกับวิชาชีพครู

Early Childhood Education
Main idea
Education from the age of three to five is vital, a similar on parent education and on the vital importance of the first three years.  The children age of three, the children who had been involved in the 'Missouri' Research showing that working with the family, rather than bypassing the parents, is the most effective way of helping children get off to the best possible start in life.
Details
At the age of three, the children who had been involved in the 'Missouri' The programme involved trained parent-educators visiting the parents' home and working with the parent, or parents, and the child. Information on child development, and guidance on things to look for and expect as the child grows were provided, plus guidance in fostering the child's intellectual, language, social and motor-skill development. Periodic check-ups of the child's educational and sensory development (hearing and vision) were made to detect possible handicaps that interfere with growth and development. Research showing that working with the family, rather than bypassing the parents, is the most effective way of helping children get off to the best possible start in life.

Vocabulary
1.       Development = พัฒนาการ
2.       Suppressed = ปราบปราม
3.       Researchers = นักวิจัย
4.       Acknowledged = ที่ยอมรับ
5.       Disappointing = ที่น่าผิดหวัง
6.       Represented = เป็นตัวแทนของ
7.       Institutionalized = สถาบัน
8.       Undoubtedly = ไม่ต้องสงสัย
9.       Alongside = คู่ขนาน
10.   Comprehension = ความเข้าใจ
11.   Performing = การดำเนินการ
12.   Information = ข้อมูล
13.   Experience = ประสบการณ์
14.   Discuss = สนทนา
15.   Located = ที่ตั้งอยู่
 

บทที่ 2การใช้ภาษาไทยและภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารในวิชาชีพครู


กการแนะนำตนเองต่อนักเรียน (Giving Self –introduction to Students)

ารเริ่มบทสนทนากับผู้เรียน(Breaking the Ice with Students)




การให้คำปรึกษากับผู้เรียน(Giving Students Advises